เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ ธ.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เพราะเมื่อวานหลวงตาพูดเรื่องผี เห็นไหม ว่าเรื่องผี พระปฏิบัติไปนี่จะเห็น อาจารย์สีโหไปนี่โดนฟ้าผ่าใส่ โดนฟ้าผ่าใส่ขนาดไหนก็แล้วแต่ บอกว่าอาจารย์สีโห พูดเพราะอะไร เพราะว่ามีวิชาเพื่อจะลองกับผีไง เราบอกเลย ถ้าเรานี่ไม่มีปากโอหังอะไรไป เรื่องนี้มันมีอยู่ทั่วไป

นี่เมื่อคืนหลวงตาพูดอย่างนี้เลยนะ แล้วโยมก็ถามไง แล้วที่ทั่วๆ ไปล่ะ หลวงตาบอกนี่สิ่งนี้มันมีอยู่ แต่มันไม่ใช่อริยสัจ หลวงตาพูดชัดเจนมากเมื่อคืน ว่าสิ่งนี้มีอยู่แล้วพระปฏิบัติส่วนใหญ่มันจะเจอ แต่เขาไม่เอามาพูดกันหรอก เพราะอะไร เพราะพูดแล้วมันไม่ใช่อริยสัจ มันเป็นเรื่องเครื่องเคียง เรื่องภายนอก ไม่เกี่ยวกับอริยสัจเลย

อริยสัจคือเรื่องทุกข์ เรื่องการเกิดการตายของเรา เรื่องข้างนอก เวลาเราอธิบายให้โยมฟัง โยมนี่เวลาปฏิบัติกลัวมากเลย ไม่อยากเจออสุภะ เพราะอะไร เพราะกลัวผีไง ความฝังใจของเรานี่กลัวผี กลัวไม่เจออสุภะ เราบอกว่า อสุภะกับผีไม่ใช่อันเดียวกัน อสุภะนี่นะเราเห็นมันเป็นภาพขึ้นมา เป็นนิมิตขึ้นมา

ถ้าเราเห็นอสุภะเพราะอะไร เพราะทุกคนนี่นะเราติดกังวลเรื่องชีวิตเราใช่ไหม เราจะมีเรื่องกิเลสของเราใช่ไหม เราจะมีเรื่องความเป็นไปของเราใช่ไหม แต่นี้พออสุภะ เราเห็นอสุภะนี่เพราะอะไร เพราะมันเป็นกายของเราไง กายกับใจของเรา สิ่งนี้มันเป็นภายใน เวลาจิตมันสงบขึ้นมามันเห็นอสุภะ ถ้าเห็นอสุภะนี่มันไม่ใช่เห็นผีหรอก ถ้าเห็นผีมันคือจิตวิญญาณ

จิตวิญญาณภายนอกมันเป็นผี แต่อสุภะไม่ใช่ผี แล้วเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติอยากเห็นมาก เวลาคนปฏิบัตินะถ้ามันเห็นอสุภะนี่มันถึงจะวิปัสสนาได้ ถ้ามันไม่เห็นอสุภะคือมันไม่เห็น.. เหมือนหมอถ้าเราไม่รู้สมมุติฐานของโรคเรารักษาโรคไม่ได้ ถ้าเรารู้สมมุติฐานของโลก แล้วโรคของกิเลสนี่มันติดที่ไหน มันติดที่กายกับใจนี้มันไม่ได้ติดที่ไหนเลย แล้วถ้าจิตมันสงบเข้าไป นี่มันเป็นอริยสัจที่ว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

อสุภะไม่ใช่ผีนะ เราเห็นโครงกระดูก เห็นอาการของเรานี่ไม่ใช่ผีหรอก แต่ถ้าเห็นผี เห็นจิตวิญญาณข้างนอกนั่นผี ผีกับอสุภะไม่ใช่อันเดียวกัน เห็นไหม แล้วพอเมื่อวานเราพูดให้เขา ฟังนะ.. ถ้าคนมีคุณธรรมจะไม่พูดอย่างนี้เลย เพราะเรื่องอย่างนี้เราต้องมีการแก้กิเลสใช่ไหม เพราะว่าอะไร ถ้าเรื่องความสัมพันธ์กัน อย่างเช่นคู่ครอง อย่างเช่นความผูกพันนี่มันเป็นกิเลสไหม? มันเป็นกิเลส

ในสมัยพุทธกาลนะมีนางภิกษุณี ก่อนจะบวชไม่รู้ตัวเองว่าท้องไง พอท้องแล้วบวชเป็นนางภิกษุณีเข้าไป แล้วพอท้องขึ้นมาพระเทวทัตก็จะจับสึก พอพระเทวทัตจะจับสึกปั๊บ นางภิกษุณีก็บอกว่าไม่ใช่บวชเพื่อพระเทวทัต แต่บวชเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้รู้อยู่แล้วแต่เรื่องมันยังไม่ชัดเจนใช่ไหม ก็ตั้งนางวิสาขาให้เป็นกรรมการตรวจสอบไง ตรวจสอบแล้วนี่เขาท้องก่อนบวช เขาท้องก่อนออกมาบวชแต่ไม่รู้ก็บวชขึ้นมาแล้ว เขาถึงไม่ผิด พอเขาไม่ผิดก็ให้อยู่ในเพศภิกษุณีจนคลอดลูก

พอคลอดลูกแล้วเวลาเลี้ยงลูกไง ลูกมันก็ร้องอยู่ในกุฏิใช่ไหม พระเจ้าปเสนทิโกศลเดินมาเยี่ยมวัด เดินมาตรวจมาดูแลความเรียบร้อย มาเห็นเด็กร้องไห้ก็เข้าไปถามว่านี่คืออะไร คือลูกที่เกิดขึ้นมา ก็เลยพาไป ก็เลยไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอเด็กคนนี้ไปเลี้ยง พอเด็กโตขึ้นมันก็ถามหาพ่อหาแม่ ก็บอกว่าแม่เป็นนางภิกษุณี เด็กคนนี้มันสลดใจมาก พอสลดใจเด็กคนนี้ก็ไปขอบวช ลาพระเจ้าปเสนทิโกศลไปบวช

พอไปบวชปั๊บ บวชแล้วมันสลดใจเพราะชีวิตมันรันทดมาก พอรันทดแล้วมันก็ไปบวช พอบวชแล้วต่อมาก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นเณรแต่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พอบิณฑบาตมาก็มาเจอแม่ไง แม่เป็นนางภิกษุณี ตั้งแต่ให้ลูกไปกับพระเจ้าปเสนทิโกศลก็คิดถึงแต่ลูก ผูกพันมาก คิดถึงแต่ลูกจนภาวนาไม่ได้เลย วันนั้นบิณฑบาตไปแล้วไปเจอลูกไง คิดถึงมากก็เลยจะเข้าไปหาลูก แต่ลูกเป็นพระอรหันต์ ลูกก็คิดในใจเลยว่า “ถ้าเราพูดพิร่ำรำพันกับแม่ แม่จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่มันจะเป็นโทษ! ฉะนั้นเราจะพูดเพื่อให้เป็นประโยชน์กับแม่ เพราะแม่เสียสละให้เรามาแล้ว”

พอบิณฑบาตสวนกัน แม่ก็เรียก “ลูกๆๆ”

ลูกก็บอกเลยว่า “เป็นลูกเป็นแม่อะไรกัน! เพราะเราเป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศากยบุตรด้วยกัน เป็นพุทธชิโนรส ไม่ใช่ลูกไม่ใช่แม่หรอก ลูกแม่ไม่มี มันเป็นสมมุติ ไม่มี! บวชมาจนป่านนี้แล้วยังไม่มีความคิดอีกหรือ จะมาลูกมาแม่อะไรกัน”

โอ๋ย.. แม่เสียใจมาก ช็อกมาก เสียใจมากเลยเพราะอะไร เพราะรักมาก คิดถึงมาก คิดถึงจนภาวนาไม่ได้เลย เสียเวลาไปขนาดไหน แล้วลูกมาพูดว่าประชดประชัน เห็นไหม เจ็บใจนัก! จะไม่คิดถึงอีกเลย พอไม่คิดถึงอีกเลยก็กลับไปภาวนาแล้วได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

เห็นไหม โทษของมัน ขนาดในชาติปัจจุบันยังบอกว่าไม่ใช่ลูกไม่ใช่แม่กันเลย แต่นี่นะบอกว่าเป็นลูกเป็นแม่ เป็นความสัมพันธ์กันมาแต่ชาติไหนๆ มันเป็นความผูกพัน เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด

เรื่องของวัฏฏะ เรื่องของการเวียนไปเป็นเรื่องของกิเลสนะ แต่พอเรื่องของการเกิด รู้คุณใช่ไหม รู้คุณสิเกิดเป็นพ่อเป็นแม่ นี่เราเกิดมาจากไหน เกิดจากพ่อจากแม่ เราเกิดมาจากโลก พ่อแม่นี่มีทุกคน แต่มีแล้วมันอยู่ที่กตัญญูกตเวที อยู่ที่ภายใน ไม่ใช่อยู่แล้วเอามาผูกพันกันอย่างนี้ ความผูกพันอย่างนี้มันเป็นเรื่องของกิเลส เป็นความสัมพันธ์กัน มันเป็นเรื่องของกิเลส เห็นไหม แม้แต่ชาติปัจจุบันเป็นแม่เป็นลูกกันเขายังตัดเลย.. ตัดอะไร ตัดกิเลส ไม่ได้ตัดความผูกพันเป็นแม่เป็นลูกกัน แม่ลูกตัดกันไม่ได้หรอก แต่กิเลสตัดได้ กิเลสที่มันผูกพันนี่ตัดได้ แล้วเอาเรื่องอย่างนี้มาบอกว่าเป็นความสัมพันธ์กัน

เราบอกว่านี่เป็นสูตรสำเร็จ ถ้าใครพูดอย่างนี้นะ เราบอกเลยว่าทำไมหลวงปู่มั่นท่านจะไม่รู้ยิ่งกว่านี้ ประวัติหลวงปู่มั่น เห็นไหม เวลาคู่ครองมา สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์มาด้วยกัน จะปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นคู่ครองตลอดไป เวลาหลวงปู่มั่นลาโพธิสัตว์มาแล้วมาประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุด คู่ครองมาต่อว่าต่อขาน

“เราสร้างบุญกุศลกันมาขนาดนี้ไม่คิดถึงกันเหรอ มาตัดช่องน้อยแต่พอตัวไป เวลาเกิดตายๆ ก็ทุกข์มาด้วยกัน”

“ก็เห็นใจว่ามาด้วยกัน แต่ขณะที่ไปข้างหน้า ถ้าจะไปตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็ยังทุกข์ยากตลอดไป ในปัจจุบันนี้ถ้าเวลาตัดโพธิสัตว์แล้ว มาพิจารณาแล้วสิ้นกิเลสไปอย่างนี้ อันนี้มันก็มีคุณค่าเท่ากัน คือพระอรหันต์เหมือนกัน เอาอันนี้เพื่อประโยชน์ ให้อนุโมทนา ให้สาธุการ..”

พออนุโมทนาสาธุการยอมรับถึงมาเกิดเป็นเทวดา ทีแรกเป็นจิตไม่มาเกิดเลย เป็นจิตแล้วไม่ยอมรับเพราะว่าอะไร เพราะว่าคิดถึงอาลัยอาวรณ์ เวลาหลวงปู่มั่นปฏิบัติจะมาคอยดูแลตลอดเวลา

ความผูกพันอย่างนี้เป็นเรื่องของส่วนบุคคล แล้วหลวงปู่มั่นเคยออกมาข้างนอกไหม? ไม่เคยออกเลย ออกแต่วงใน ออกแต่ลูกศิษย์ใกล้ชิด แล้วหลวงตาเอามาเขียนในประวัติ เห็นไหม นี่ความผูกพันอย่างนี้มันเป็นวัฏฏะนะ ดูสิ เวลาคู่สร้างคู่สมนี่มีความสุขมาก คู่เวรคู่กรรม คู่ทุกข์คู่ยากมันก็จะมีตลอดไป

มันไม่ใช่มีแง่บวกตลอดไปนะ เรื่องของวัฏฏะนี่เป็นเรื่องที่น่าสลดสังเวชมาก การเกิดและการตายเป็นเรื่องที่น่าสลดสังเวชมาก เราจะละมัน เห็นไหม สิ่งนี้เป็นเรื่องภายนอก แต่เรื่องภายในคือเรื่องของใจของเรา เราเองก็เกิดตายๆ ในหัวใจของเรา แล้วกิเลสมันอยู่กับเราตลอดไป แต่ธรรมะมันเกิดตาย.. สิ่งที่เกิดตาย แล้วในปัจจุบันนี้เรายังแก้ไขไม่ได้เลย

แต่เก่งนะ เก่งรู้เรื่องอดีตชาตินะ เก่งรู้เรื่องภพเรื่องชาติ เก่งเรื่องข้างนอกนะ แต่เรื่องของใจทำไมมันไม่เก่ง เรื่องที่เกิดดับในตัวเองทำไมมันไม่เก่ง ถ้าเรื่องเกิดดับในตัวเองเก่งตรงนี้มันก็ต้องละตรงนี้ได้ ดูสิ ดูครูบาอาจารย์ “ตบปากนะ! ตบปากนะ!” ห้ามพูดเพราะอะไร เพราะท่านรู้ของจริงท่านยังไม่พูดเลย เพราะพูดออกมาแล้วมันเป็นโทษกับคนอื่น มันเหมือนผู้ใหญ่เข้าใจมาหมดเลย เราไปบนถนนหนทางเราจะรู้กฎจราจร เราจะเอาตัวเองเรารอดได้ เว้นไว้แต่เผลอโดนอุบัติเหตุ แต่เด็กมันไม่รู้ของมันหรอก มันไปประสาของมัน เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าคนมีกิเลสอยู่ไปพูดเรื่องอย่างนี้มันก็เสียหายหมด มันออกนอกลู่นอกทางหมด ฉะนั้นครูบาอาจารย์ถึงไม่ให้เป็นอย่างนั้น.. ถ้าเป็นจริงท่านก็บอกว่าให้สลดสังเวช ถ้าเป็นจริง สภาวะเป็นจริงอย่างนั้น เห็นไหม เราเห็นแล้วเราสะเทือนใจเราไหม ถ้าเราสะเทือนใจขึ้นมาก็เป็นธรรมย้อนกลับมาที่เรา ย้อนกลับมาที่เรา.. ถ้าย้อนกลับมาที่เรา แก้ไขที่เรา จบแล้วสิ่งนั้นมันเป็นเรื่องของวัฏฏะ

ถ้าเรื่องของวัฏฏะ สิ่งนั้นมันไม่มีเหรอ.. มี! แต่มีนี่มีเพื่อให้มันย้อนกลับมาถึงตัวเราไง มันเป็นสถานที่รองรับการเวียนตายเวียนเกิดนะ สถานะรองรับนี่เราต้องมีที่อยู่ เรายังมีบ้านมีเรือนเลย แล้ววัฏฏะนี้มันเป็นที่อยู่ของใจ ใจนี่เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ มันมีสภาวะแบบนั้นทั้งนั้นล่ะ

บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาตินี่ใครจะไม่รู้ ถ้าพระอรหันต์ไม่รู้เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ พระอรหันต์รู้เรื่องนี้หมด แล้วพระอรหันต์เอามาพูดไหม เว้นไว้แต่อรหันต์ปลอม อรหันต์หลอกชาวบ้านนั่นน่ะ มันจะเอาเรื่องนี้มาขายกิน แต่เวลาพูดย้อนกลับไปเรื่องอริยสัจพูดไม่ถูก เพราะอะไร เพราะอริยสัจไม่รู้จริงพูดไม่ได้ เหมือนกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเกิดดับๆ นามรูปเกิดดับๆ

เกิดดับนี่ไฟฟ้าก็เกิดดับ พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกก็เกิดดับ ทุกอย่างเกิดดับหมด เกิดดับอย่างนั้นมันเป็นเกิดดับธรรมชาติ เกิดดับจากภายนอก แล้วเกิดดับจากภายในมันต้องมีแรงขับใช่ไหม แรงขับคืออะไร คือกิเลสมันพาเกิดดับ แล้วถ้าเราไม่ชำระกิเลสมันเกิดดับ เกิดดับแล้วเราทุกข์ไหมล่ะ แต่สิ่งที่เกิดดับจากภายนอกเราทุกข์ไหมล่ะ มันเกิดดับของเขานะ อย่างน้ำขึ้นน้ำลงมันก็เป็นสภาวะอนิจจังตลอดไป มันก็เป็นสภาวะอย่างนั้น

อย่างนั้นมันก็ให้ผลกับโลกใช่ไหม สิ่งนี้มันเป็นสภาวะที่เราควบคุมไม่ได้ แต่ความเป็นไปของเราล่ะมันเกิดมาจากภายใน.. ถ้าว่าเกิดดับจากภายนอกนี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเกิดดับของเราล่ะมันต้องมีสติสัมปชัญญะเข้ามาย้อนกลับมาที่นี่ ถ้าเกิดดับที่นี่ เห็นไหม

“อย่าดูถูกความนิ่งเฉยของพระอริยเจ้า”

ความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า เพราะอะไร เพราะมันพูดออกไปแล้วมันกระเทือนใจเขา ถ้ากระเทือนกิเลสแล้วเอา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่สิ่งที่ไม่ควรพยากรณ์จะไม่พยากรณ์เลย แต่ถ้าสิ่งที่ควรพยากรณ์ เห็นไหม นี่มีพระหลายองค์มากในสมัยพุทธกาล ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่องนี้ ว่าอดีตชาติเป็นอย่างไร นรกสวรรค์มีไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามเลยว่า

“เราเคยสัญญากับเธอไหมว่าเราจะบอกเรื่องนี้”

เขาบอก “ถ้าไม่บอกจะสึก”

“สึกก็สึกไป”

ในพระไตรปิฎกมีมากเลยที่พระไปต่อรองกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พูดเรื่องนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ให้สึกไปเลย สึกไปเลย” แต่บางองค์ขณะที่เป็นประโยชน์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปบอกเองเลย มันอยู่ที่บอกแล้วเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ไม่ควรพูด.. คนไม่ควรพูด มันอยู่ที่ไหนล่ะ มันอยู่ที่สติพร้อมไง

อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า เพราะอะไร เพราะความนิ่งอันนั้นพูดไปแล้วมันเป็นโทษ เพราะอะไร เพราะมันเนิ่นช้า เห็นไหม ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการท่านถึงไม่พูดถึงผลเลย ผลของอริยสัจนี่ไม่อยากจะพูด เพราะอะไร เพราะมันเอาไปเป็นสัญญา มันเอาไปเป็นก็อบปี้ ถ้ามันก็อบปี้ไปแล้วมันจะไม่ว่าเป็นสภาวะแบบนั้น มันเป็นสัญญาหมดเลย จะพูดแต่เรื่องเหตุไง เหตุต้องสร้างอย่างนี้! สร้างอย่างนี้!

“ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” แล้วเราจะเอาธรรมที่ดีของเรา เอาธรรมที่ถูกต้องของเรา มันต้องสร้างเหตุที่ดี แต่ถ้าเราสร้างเหตุที่ผิด มันก็ออกนอกลู่นอกทางไปตลอดเวลา.. ถ้าพูดอย่างนี้ตลอดไปนะ มันเป็นสูตรสำเร็จเลย แล้วไม่ใช่มีน้อยๆ นะ มีมาก!

เรื่องนี้มีมากเลย อดีตชาติตลอดเวลา อดีตชาติมีประโยชน์อะไร เมื่อวานมีประโยชน์อะไร มันจะมีประโยชน์แต่ว่าเมื่อวานดีหรือเลว ถ้าเมื่อวานดีวันนี้จะดี เมื่อวานไม่เป็นหนี้วันนี้จะมีความสุขมาก เพราะอะไร เพราะเราไม่เป็นหนี้ เมื่อวานเป็นหนี้มากเลย วันนี้ต้องหาไปใช้หนี้เขานะ ถ้าเมื่อวานไม่เป็นหนี้นะวันนี้จะดีมาก

นี่เหมือนกัน ถ้าเมื่อวานนี้ดี คือจิตที่ได้สร้างสภาวะที่เป็นบุญกุศลมา มันจะสนใจเรื่องธรรมะ มันจะสนใจเรื่องละเอียดอ่อน แต่ถ้าจิตมันหยาบมา มันสนใจแต่เรื่องเงินทอง แล้วถ้าเงินทอง คนที่คดโกงเงินทองนี้อย่างหนึ่ง ถ้าสนใจเรื่องเงินทองแล้วปล้นสะดมเขาเพราะอะไร เพราะใจมันหยาบไง พอสนใจเงินทองมันจะเอาเงินทองอย่างไรก็ได้ที่มันจะเอา แต่ถ้าเป็นคุณธรรม เงินทองเป็นแค่เครื่องอาศัย

ดูสิ ดูอย่างคนที่เขามีคุณธรรม เขาตั้งโรงทานของเขา เขาสละทรัพย์ของเขา เพื่ออะไร เพราะดูสิเรายื่นออกไปจากมือเรา เราให้เขาไป นี่เขาได้ใช้ได้สอยของเรา เขามีความสุขของเขา ความสุขอย่างนี้มันเป็นนามธรรมที่เข้ามาที่ใจเรา เราเห็นว่าเขามีความสุข เราได้เผื่อแผ่เขา ได้เจือจานเขา แล้วเขาดำรงชีวิตของเขาไปนี่ เห็นไหมไม่ใช่เงินทองนะ เป็นค่าน้ำใจ

ถ้าค่าน้ำใจ เมื่อวานถ้าทำอย่างนี้มานะมันจะสนใจเรื่องธรรมะ แล้วเวลามาประพฤติปฏิบัติมันอยู่ที่บุญนะ ถ้าบุญกุศลเราดีเราจะเจอครูบาอาจารย์ที่ดี แล้วจะไม่พาเราออกนอกลู่นอกทาง ถ้าบุญเราไม่ดีนะ ครูบาอาจารย์นี่พูดถูกต้องหมดเลย แต่มันขัดหูไปหมดเลย แต่ถ้าครูบาอาจารย์ที่ไหนเขาพูดเรื่องประโลมโลก เรื่องกิเลสนะ โอ้โฮ.. มันถูกใจไปหมดเลย

พูดผิดพูดที่ประโลมโลกมันกลับถูกใจนะ พูดที่แทงกิเลส พูดแทงใจดำ ธรรมะแทงใจดำนี่มันไม่เห็นด้วยนะ เพราะอะไร แต่ถ้ามันมีบุญของเราขึ้นมา เห็นไหม เวลาพูดแทงใจดำขึ้นมานี่มันขนลุกขนพองนะ แหม.. มันสะใจๆ นะ หาอย่างนี้ หาคนที่แก้ไขเราอย่างนี้

ถ้าคนมีคุณธรรม คนที่เราสร้างเมื่อวานนี้ดีมา เมื่อวานเราได้สละมา จิตใจมันมีสถานะของมันมา มันจะละสภาวะแบบนี้แล้วมันจะพอใจมาก หาครูหาอาจารย์ที่ชี้ทางตรงให้เรานะ ทางตรงต่อธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเป็นกิเลสนะมันประโลมโลกไง ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น แล้วเราก็จะไปเชื่อเขา แล้วเราก็เป็นเหยื่อของเขา

เป็นเหยื่อของเขาจริงๆ นะ ดูสิ แล้วมันก็จะออกไปเป็นประเพณีวัฒนธรรม อย่างน้อยก็เป็นประเพณี จะภาวนาแล้วก็ต้องทำประเพณีกันก่อน ต้องทำพิธีกรรมกัน ๕ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง ภาวนา ๒ ทีเลิกแล้ว เห็นไหม อย่างน้อยก็เป็นประเพณีแล้ว อย่างมากนะออกไปนอกลู่นอกทางเลย อย่างมากยิ่งไปตกเหวตกบ่อไปเลย ทั้งๆ ที่ว่าศาสนามันมีอยู่ แต่สิ่งที่มีอยู่เป็นนามธรรมไง

แล้วศาสนากับไสยศาสตร์.. พุทธศาสนา ไสยศาสตร์ ทางโลกมันออกนอกลู่นอกทางไปหมดเลย เป็นสภาวะแบบนั้น เราถึงว่าถ้าเรามีหลักของใจ เราจะยึดของเราเข้ามา แล้วหลักของใจ ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เรามีครูมีอาจารย์ มีศาสดา เราต้องยึดตรงนี้ แล้วเราจะเข้าถึงธรรม แล้วจะเข้าถึงสัจจะความจริง เข้าถึงใจของเรา ไม่ได้เรื่องอย่างอื่นเลยนะ

เรื่องของโลก เรื่องของจิตวิญญาณ กับเรื่องอสุภะไม่ใช่อันเดียวกัน ไม่ใช่อันเดียวกัน แต่คนไปตกใจ คนไปกลัวกันเอง.. อสุภะพูดถึงโครงกระดูกต่างๆ มันพูดถึงเพราะเราติดข้อง จิตมันติดข้องต้องแก้ไขอย่างนี้ ถ้าแก้อย่างนี้เราจะเป็นอริยบุคคลขึ้นมา อริยทรัพย์ ไม่ใช่ทรัพย์ธรรมดานะ ทรัพย์ธรรมดายังหากันหาทุกข์หายากกว่าจะได้ทรัพย์ขึ้นมา แล้วได้อริยทรัพย์ขึ้นมามันจะทำมาง่ายๆ เป็นไปได้อย่างไร

อริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายในมหาศาลมาก สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่เกิดจากใจ พลังงานของใจ ปัญญาของใจ ใจทำแล้วใจเป็นคนได้ เอวัง